สถาปัตยกรรมตะวันตก (Western Architecture)
ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันตก
ในปี ค.ศ. 1851 ได้มีการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติอันยิ่งใหญ่ขึ้นในกรุงลอนดอน ที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า “The Great International Exhibition” งานนี้เป็นสัญลักษณ์อันสำคัญของโลกสมัยใหม่มันเป็นยุคแห่งอุตสาหกรรมและเป็นจุดรวมของวิทยาการอันก้าวหน้าต่างๆ ของสมัยนั้นที่น่าตื่นใจพอๆ กับนิทรรศการเองก็คือตัวอาคารที่ออกแบบโดย โจเซฟ แพกซตัน (Joseph Paxton) ใช้เป็นที่จัดงานและเป็นที่รู้จักกันในนามของ “The Crystal Palace” อาคารหลังมหึมานี้สามารถก่อสร้างได้สำเร็จในระยะเวลาเพียง 9 เดือน และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถก่อสร้างอาคารได้ในมิติอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น สาธารณชนร่วมสมัยตื่นตาตื่นใจกับ โครงเหล็กอันบอบบางที่ประสมประสามเชื่อมต่อกันเป็นโครงสร้างมโหฬารที่บุด้วยแผ่นกระจกใส ความมหึมาของที่ว่างภายในอันเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีขอบเขตทั้งความโปร่งใสของพื้นผิวอาคาร และความเบาบางเสมือนไร้น้ำหนักของผนัง ดูเหมือนจะบันดาลใจให้สาธารณชนตระหนักว่า “New Style” ของสถาปัตยกรรมได้มาถึงแล้ว นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมได้สำรวจและศึกษาศตวรรษที่ 19 เพื่อค้นหากลุ่มงานบุกเบิก ดังเช่น คริสตรัล พาเลซของโจเซฟ แพกซตันนี้ และทุกคนมีความเห็นเป็นข้อยุติได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า งานทำนองนี้เป็น “the first step towards modern architecture”
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมาถึง “ก้าวแรก” สู่ “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่” เช่นนี้ได้สถาปนิกและวิศวกรได้ก้าวย่างมาเป็นระยะทางอันยาวนานในประวัติศาสตร์มนุษยชาติดังเป็นที่ประจักษ์ได้ในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม อันหมายถึงการบันทึกวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องกันตามลำดับขั้นตอนของสถาปัตยกรรมในยุคต่างๆ ทางด้านสถาปัตยกรรมตะวันตกนั้น นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยสถาปัตยกรรมอียิปต์ที่มีรูปทรง (Form) เรียบง่ายตรงไปตรงมาและไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในระยะเวลาอันยาวยนาน จากนั้นก็ติดตามมาด้วยการก่อสร้างวิหารต่างๆ ของกรีกที่พัฒนาขึ้นสู่ระดับสูงสุดระดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ แล้วก็มาถึงสมัยจักรวรรดิโรมันอันเรืองอำนาจ สถาปัตยกรรมในยุคนี้จะยิ่งใหญ่มโหฬารซับซ้อนและมีนานาประเภทอันสะท้อนถึงวิถีทางของการดำรงชีวิตและสังคมที่ซับซ้อนขึ้น จนกระทั่งถึงยุคกลางอันเป็น “ยุคแห่งศรัทธา” ที่บรรดาช่างทั้งหลายได้ก่อสร้างมหาวิหารโกธิคอันยิ่งใหญ่สูงเสียดฟ้า ตลอดจนป้อมปราการปราสาทอันมั่นคงแข็งแรง แล้วในที่สุดก็มาถึงยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการที่คนในสมัยเรอเนซองส์หันกลับไปหาคลาสสิคเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมของยุคอันยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาตินี้ ฉะนั้นตลอดระยะเวลาอันยาวนาน นับตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งปัจจุบันสถาปัตยกรรมได้พัฒนารวมทั้งได้ถูกหลอมหล่อและดัดแปลงเพื่อให้สอดคล้องสัมพันธ์กับความต้องการ (Needs) ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของมนุษย์แต่ละเชื้อชาติแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในด้านศาสนา ในด้านการเมือง หรือวิวัฒนาการด้านอื่นๆ ของสังคม การมองย้อนหลังไปยังทัศนียภาพของยุคต่างๆ ในอดีตจะเผยให้เราเข้าใจชัดเจนว่า สถาปัตยกรรมนั้นเปรียบเสมือนประวัติสาสตร์ที่เป็นรูปเป้นร่าง มองเห็นได้ด้วยตาของสภาวะต่างๆ ของสังคม ของความก้าวหน้านานาประการในด้านศิลปะและวิทยาการ ของวิวัฒนาการอันเนื่องในศาสนา และของเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทั้งนี้เพราะว่าสถาปัตยกรรมในทุกยุคทุกสมัยจะต้องสอดคล้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ “ชีวิต” ของแต่ละเชื้อชาติและอัจฉริยภาพของแต่ละเชื้อชาติก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นชัดเจนในงานสถาปัตยกรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น อียิปต์, กรีก, โรมัน, ยุคกลางและเรอเนซองส์เรื่อยมาจนถึงงยุคร่วมสมัยของเรานี้ สถาปัตยกรรมอียิปต์นั้นมีลักษณะเฉพาะของตน คือ ผนังหนาหนักและทึบตัน ทิวเสาที่มีช่องไฟค่อนข้างถี่นั้นขึ้นไปรับคานหินที่รองรับหลังคาแบนอีกทีหนึ่ง สถาปัตยกรรมที่ไกลย้อนหลังไปกว่านั้นของอียิปต์ เรายังไม่ทราบมากนัก รวมทั้งวิวัฒนาการระยะต้นๆ ก่อนที่จะมาถึงจุดเริ่มต้นของ “Historical Styles” จุดนี้ ปิรามิด (Pyramid) ซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ที่สุดประเภทหนึ่งนั้นมีต้นรากที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา และเป็นผลลัพธ์ที่ก่อกำเนิดมาจากคติความเชื่อเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งเป็นแนวความคิดสำคัญที่เป็นหลักของศาสนาของคนอียิปต์ผู้ซึ่งมีความเชื่อด้วยว่าการรักษาร่างกายไว้มิให้เน่าเปื่อยเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งของความอมตะของวิญญาณ ฉะนั้นองค์ฟาโรห์(Pharoah) จึงทรงก่อสร้าง “ภูเขาหิน” อันมั่นคงแข็งแรง เพื่อเป็นที่เก็บรักษาร่างกายอาบน้ำยาของพระองค์ไว้ “ภูเขาหิน” หรือปิรามิดเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสิ่งหนึ่ง แม้ว่าความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสมัยใหม่ในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปเพียงไร คนอียิปต์มีความเชื่อว่า บ้านพักอาศัยนั้นเป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว ส่วนที่บรรจุศพ (Tombs) คือ ปิรามิดและมาสตาบา (Mastaba) นั้นเป็นที่อยู่อาศัยอันถาวรชั่วกาลนาน