วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยินดีต้อนรับ



ยินดีต้อนรับสู้เว็บไซต์ archilone.blogspot.com
เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับเรื่องสถาปัตยกรรม



 ขอขอบคุณ 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เสรภูมิ วรนิมมานนท์

  ด้วยความเคารพอย่างสูง 
นางสาวณัฐพร สุขประเสริฐ
นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
 สาขาเทคโนโลยีนิเทศศิลป์  ชั้นปีที่ 3


เว็บไซต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ





วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รูปภาพโมเดล งานสถาปัตยกรรม









รูปภาพสถาปัตยกรรมตะวันตก





รูปภาพสถาปัตยกรรมไทย








สถาปัตยกรรมตะวันตก

สถาปัตยกรรมตะวันตก (Western Architecture)



ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันตก

          ในปี ค.ศ. 1851 ได้มีการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติอันยิ่งใหญ่ขึ้นในกรุงลอนดอน ที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า “The Great International Exhibition” งานนี้เป็นสัญลักษณ์อันสำคัญของโลกสมัยใหม่มันเป็นยุคแห่งอุตสาหกรรมและเป็นจุดรวมของวิทยาการอันก้าวหน้าต่างๆ ของสมัยนั้นที่น่าตื่นใจพอๆ กับนิทรรศการเองก็คือตัวอาคารที่ออกแบบโดย โจเซฟ แพกซตัน (Joseph Paxton) ใช้เป็นที่จัดงานและเป็นที่รู้จักกันในนามของ “The Crystal Palace” อาคารหลังมหึมานี้สามารถก่อสร้างได้สำเร็จในระยะเวลาเพียง 9 เดือน และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถก่อสร้างอาคารได้ในมิติอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น สาธารณชนร่วมสมัยตื่นตาตื่นใจกับ โครงเหล็กอันบอบบางที่ประสมประสามเชื่อมต่อกันเป็นโครงสร้างมโหฬารที่บุด้วยแผ่นกระจกใส ความมหึมาของที่ว่างภายในอันเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีขอบเขตทั้งความโปร่งใสของพื้นผิวอาคาร และความเบาบางเสมือนไร้น้ำหนักของผนัง ดูเหมือนจะบันดาลใจให้สาธารณชนตระหนักว่า “New Style” ของสถาปัตยกรรมได้มาถึงแล้ว นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมได้สำรวจและศึกษาศตวรรษที่ 19 เพื่อค้นหากลุ่มงานบุกเบิก ดังเช่น คริสตรัล พาเลซของโจเซฟ แพกซตันนี้ และทุกคนมีความเห็นเป็นข้อยุติได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า งานทำนองนี้เป็น “the first step towards modern architecture”

          อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมาถึง “ก้าวแรก” สู่ “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่” เช่นนี้ได้สถาปนิกและวิศวกรได้ก้าวย่างมาเป็นระยะทางอันยาวนานในประวัติศาสตร์มนุษยชาติดังเป็นที่ประจักษ์ได้ในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม อันหมายถึงการบันทึกวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องกันตามลำดับขั้นตอนของสถาปัตยกรรมในยุคต่างๆ ทางด้านสถาปัตยกรรมตะวันตกนั้น นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยสถาปัตยกรรมอียิปต์ที่มีรูปทรง (Form) เรียบง่ายตรงไปตรงมาและไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในระยะเวลาอันยาวยนาน จากนั้นก็ติดตามมาด้วยการก่อสร้างวิหารต่างๆ ของกรีกที่พัฒนาขึ้นสู่ระดับสูงสุดระดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ แล้วก็มาถึงสมัยจักรวรรดิโรมันอันเรืองอำนาจ สถาปัตยกรรมในยุคนี้จะยิ่งใหญ่มโหฬารซับซ้อนและมีนานาประเภทอันสะท้อนถึงวิถีทางของการดำรงชีวิตและสังคมที่ซับซ้อนขึ้น จนกระทั่งถึงยุคกลางอันเป็น “ยุคแห่งศรัทธา” ที่บรรดาช่างทั้งหลายได้ก่อสร้างมหาวิหารโกธิคอันยิ่งใหญ่สูงเสียดฟ้า ตลอดจนป้อมปราการปราสาทอันมั่นคงแข็งแรง แล้วในที่สุดก็มาถึงยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการที่คนในสมัยเรอเนซองส์หันกลับไปหาคลาสสิคเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมของยุคอันยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาตินี้ ฉะนั้นตลอดระยะเวลาอันยาวนาน นับตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งปัจจุบันสถาปัตยกรรมได้พัฒนารวมทั้งได้ถูกหลอมหล่อและดัดแปลงเพื่อให้สอดคล้องสัมพันธ์กับความต้องการ (Needs) ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของมนุษย์แต่ละเชื้อชาติแต่ละท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในด้านศาสนา ในด้านการเมือง หรือวิวัฒนาการด้านอื่นๆ ของสังคม การมองย้อนหลังไปยังทัศนียภาพของยุคต่างๆ ในอดีตจะเผยให้เราเข้าใจชัดเจนว่า สถาปัตยกรรมนั้นเปรียบเสมือนประวัติสาสตร์ที่เป็นรูปเป้นร่าง มองเห็นได้ด้วยตาของสภาวะต่างๆ ของสังคม ของความก้าวหน้านานาประการในด้านศิลปะและวิทยาการ ของวิวัฒนาการอันเนื่องในศาสนา และของเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทั้งนี้เพราะว่าสถาปัตยกรรมในทุกยุคทุกสมัยจะต้องสอดคล้องสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ “ชีวิต” ของแต่ละเชื้อชาติและอัจฉริยภาพของแต่ละเชื้อชาติก็จะสะท้อนออกมาให้เห็นชัดเจนในงานสถาปัตยกรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น อียิปต์, กรีก, โรมัน, ยุคกลางและเรอเนซองส์เรื่อยมาจนถึงงยุคร่วมสมัยของเรานี้ สถาปัตยกรรมอียิปต์นั้นมีลักษณะเฉพาะของตน คือ ผนังหนาหนักและทึบตัน ทิวเสาที่มีช่องไฟค่อนข้างถี่นั้นขึ้นไปรับคานหินที่รองรับหลังคาแบนอีกทีหนึ่ง สถาปัตยกรรมที่ไกลย้อนหลังไปกว่านั้นของอียิปต์ เรายังไม่ทราบมากนัก รวมทั้งวิวัฒนาการระยะต้นๆ ก่อนที่จะมาถึงจุดเริ่มต้นของ “Historical Styles” จุดนี้ ปิรามิด (Pyramid) ซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ที่สุดประเภทหนึ่งนั้นมีต้นรากที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา และเป็นผลลัพธ์ที่ก่อกำเนิดมาจากคติความเชื่อเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งเป็นแนวความคิดสำคัญที่เป็นหลักของศาสนาของคนอียิปต์ผู้ซึ่งมีความเชื่อด้วยว่าการรักษาร่างกายไว้มิให้เน่าเปื่อยเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งของความอมตะของวิญญาณ ฉะนั้นองค์ฟาโรห์(Pharoah) จึงทรงก่อสร้าง “ภูเขาหิน” อันมั่นคงแข็งแรง เพื่อเป็นที่เก็บรักษาร่างกายอาบน้ำยาของพระองค์ไว้ “ภูเขาหิน” หรือปิรามิดเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสิ่งหนึ่ง แม้ว่าความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสมัยใหม่ในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปเพียงไร คนอียิปต์มีความเชื่อว่า บ้านพักอาศัยนั้นเป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว ส่วนที่บรรจุศพ (Tombs) คือ ปิรามิดและมาสตาบา (Mastaba) นั้นเป็นที่อยู่อาศัยอันถาวรชั่วกาลนาน

         

สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์


ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นยุคทองแห่งศิลปะจีน มีการใช้การก่ออิฐถือปูนและใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับหน้าบันแทนแบบเดิม
สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น มีการสร้างอาคารต่างชนิดเพื่อรองรับกิจกรรมทางธุรกิจนอกเหนือจากที่อยู่อาศัยและวัดวาอารามในอดีต ได้แก่ โรงงาน โรงสี โรงเลื่อย ห้างร้านและที่พักอาศัยของชาวตะวันตก นอกจากนี้การสร้างอาคารของทางราชการ กระทรวงต่าง ๆ และพระราชวังที่มีรูปแบบตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทย เช่น พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นต้น[1] วัดที่มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมตะวันตกเช่น วัดนิเวศธรรมประวัติ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นศิลปะแบบกอธิค


สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้แบ่งประเภท ของบ้านเรือนในกรุงเทพตามแบบวัฒนธรรมออกเป็น 3 แบบ คือ [2]
  • แบบเดิม คือ แบบเรือนของผู้มีฐานะ (ระดับ) เดียวกัน เคยทำมาอย่างไรก็ทำมาอย่างนั้น มิได้คิดเปลี่ยนแปลงยกตัวอย่างเช่น วังเจ้าบ้านนายขุน
  • แบบผสม คือ เอาตึกฝรั่งหรือเก๋งจีนมาสร้างแทรกเข้าบ้าง เข้าใจว่าเกิดขึ้นในรัชการที่ 4 และต่อมาจนต้นรัชกาลที่ 5 ดังตัวอย่างที่มีเก๋ง และ การแก้ไขตำหนักที่วังท่าพระ เป็นต้น
  • เปลี่ยนเป็นอย่างใหม่ คือ เลิกสร้างเรือนแบบไทยเดิม และตึกฝรั่ง เก๋งจีน คิดทำเป็นตึกฝรั่งทีเดียว เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
อย่างไรก็ตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมในสมัยนั้นก็คงเอกลักษณ์ไทยเอาไว้บ้าง เช่นการนำหน้า ตาสถาปัตยกรรมไทยเข้ามาใส่ด้านหน้าของตึก ไม่ว่าจะเป็น ลายฉลุไม้ หลังคา ทรงจั่ว
                                                                 พระที่นั่งอนันตสมาคม มีรูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตก


สถาปัตยกรรมไทยสมัยประวัติศาสตร์


สถาปัตยกรรมไทยสมัยประวัติศาสตร์

สามารถแบ่งได้เป็นยุคๆ ได้ดังนี้
  • ยุคทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 12 - 16)
  • ยุคศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 - 18)
  • ยุคลพบุรี (ราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 18)
  • ยุคเชียงแสน (ราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 23)
  • ยุคสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19 - 20)
  • ยุคอู่ทอง (ราวพุทธศตวรรษที่ 17 -20)
  • ยุคอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20 - 23)

พระปรางค์สามยอด สถาปัตยกรรมไทยยุคลพบุรี


พระบรมธาตุไชยา สถาปัตยกรรมยุคศรีวิชัย



รูปแบบของสถาปัตยกรรมไทย


สามารถจัดหมวดหมู่ ตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท คือ
ตำหนัก และวัง เป็นเรือนที่อยู่ของชนชั้นสูง พระราชวงศ์ หรือ ใช้เรียกที่ประทับชั้นรอง ของพระมหากษัตริย์
  • สถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องศาสนา

สถาปัตยกรรมไทย

สถาปัตยกรรมไทย หมายถึงศิลปะการก่อสร้างของไทย อันได้แก่ อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหารวัง สถูป และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ และคตินิยม สถาปัตยกรรมไทย มีมานานตั้งแต่ที่คนไทยเริ่มตั้งถิ่นฐาน เป็นเวลาร่วม 4000 ปี บรรพบุรุษไทยได้พัฒนาและปรับปรุงรูปแบบสถาปัตยกรรมอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ สภาพภูมิประเทศ โดยเพิ่มเติมใส่เอกลักษณ์ความเป็นไทยเข้าไป ซึ่งนับเป็นการแสดงออกความสามารถของบรรพบุรุษไทย สามารถแบ่งยุคได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ สถาปัตยกรรมไทยสมัยประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์


 สถาปัตยกรรมไทย
สามารถจัดหมวดหมู่ ตามลักษณะการใช้งานได้   2   ประเภท  คือ

1. สถาปัตยกรรมที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย   ได้แก่  บ้านเรือน  ตำหนัก  วัง
และพระราชวัง เป็นต้น บ้านหรือเรือนเป็นที่อยู่อาศัยของสามัญชน
ธรรมดาทั่วไป ซึ่งมีทั้งเรือนไม้ และเรือนปูน  เรือนไม้มีอยู่   2   ชนิด
คือ เรือนเครื่องผูก เป็นเรือนไม้ไผ่  ปูด้วยฟากไม้ไผ่    หลังคามุงด้วย
ใบจาก  หญ้าคา    หรือใบไม้   อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า   เรือนเครื่องสับ
เป็นไม้จริงทั้งเนื้ออ่อน และเนื้อแข็ง ตามแต่ละท้องถิ่น    หลังคามุง
ด้วยกระเบื้องดินเผา   พื้นและฝาเป็นไม้จริงทั้งหมด    ลักษณะเรือน
ไม้ของไทยในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน        และโดยทั่วไปแล้วจะมี
ลักษณะสำคัญร่วมกันคือ   เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว   ใต้ถุนสูง   หลังคา
ทรงจั่วเอียงลาดชัน
     ตำหนัก และวัง เป็นเรือนที่อยู่ของชนชั้นสูง พระราชวงศ์  หรือ
ใช้เรียกที่ประทับชั้นรอง ของพระมหากษัตริย์  สำหรับพระราชวัง
เป็นที่ประทับของพระมหากษัติรย์      พระที่นั่ง เป็นอาคารที่มีท้อง
พระโรงซึ่งมีที่ประทับสำหรับออกว่าราชการ หรือกิจการอื่น ๆ



2. สถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้องศาสนา
 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในบิรเวณสงฆ์
ที่เรียกว่า วัด ซึ่งประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมหลายอย่าง      ได้แก่
โบสถ์ เป็นที่กระทำสังฆกรรมของพระภิกษุ    วิหารใช้ประดิษฐาน
พระพุทธรูปสำคัญ และกระทำสังฆกรรมด้วยเหมือนกัน กุฎิ เป็นที่
อยู่ของพระภิกษุ  สามเณร     หอไตร  เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก
และคัมภีร์สำคัญทางศาสนา  หอระฆังและหอกลอง   เป็นที่ใช้เก็บ
ระฆังหรือกลองเพื่อตีบอกโมงยาม หรือเรียกชุมนุมชาวบ้าน   สถูป
เป็นที่ฝังสพ  เจดีย์ เป็นที่ระลึกอันเกี่ยวเนื่องกับศาสนา  ซึ่งแบ่งได้
4  ประเภท คือ
     1. ธาตุเจดีย์ หมายถึง พระบรมธาตุ และเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารี
ริกธาตุของพระพุทธเจ้า
     2. ธรรมเจดีย์ หมายถึง  พระธรรม   พระวินัย คำสั่งสอนทุกอย่าง
ของพระพุทธเจ้า
     3. บริโภคเจดีย์ หมายถึง สิ่งของเครื่องใช้ของพระพุทธเจ้า  หรือ
ของพระภิกษูสงฆ์ได้แก่ เครื่องอัฐบริขารทั้งหลาย
     4. อุเทสิกเจดีย์ หมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้น     เพื่อเป็นที่ระลึกถึงองค์
 พระพุทธเจ้า เช่น สถูปเจดีย์ ณ สถานที่ทรงประสูติ   ตรัสรู้   แสดง
  ปฐมเทศนา ปรินิพพาน   และรวมถึงสัญลักษณ์อย่างอื่น เช่น พระ
 พุทธรูป  ธรรมจักร  ต้นโพธิ์  เป็นต้น








องค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรม


จุดสนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
บทความ De Architectura ของวิทรูเวียส ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบ ได้กล่าวไว้ว่า สถาปัตยกรรมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนหลักๆ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและสมดุล อันได้แก่
  • ความงาม (Venustas) หมายถึง สัดส่วนและองค์กระกอบ การจัดวางที่ว่าง และ สี,วัสดุและพื้นผิวของอาคาร ที่ผสมผสานลงตัว ที่ยกระดับจิตใจ ของผู้ได้ยลหรือเยี่ยมเยือนสถานที่นั้นๆ
  • ความมั่นคงแข็งแรง (Firmitas)
  • และ ประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถึง การสนองประโยชน์ และ การบรรลุประโยชน์แห่งเจตนา รวมถึงปรัชญาของสถานที่นั้นๆ

สถาปัตยกรรม Architecture

สถาปัตยกรรม (architecture)
 หมายรวมถึง อาคารหรือสิ่งก่อสร้าง รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกสิ่งปลูกสร้างนั้น ที่มาจากการออกแบบของมนุษย์ ด้วยศาสตร์ทางด้านศิลปะ การจัดวางที่ว่าง ทัศนศิลป์ และวิศวกรรมการก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ใช้สอย สถาปัตยกรรมยังเป็นสื่อความคิด และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมในยุคนั้นๆอีกด้วย



สถาปัตยกรรม (Architecture)   เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการก่อสร้างสิ่งก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ การวางผังเมือง การจัดผังบริเวณ การตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานศิลปะ ที่มีขนาดใหญ่ต้องใช้ผู้สร้างงานจำนวนมาก และเป็นงานศิลปะ ที่มีอายุยืนยาว สถาปัตยกรรม เป็นวิธีการจัดสรรบริเวณที่ว่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยตามความต้องการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และศิลปะ ความงดงาม และคุณค่าของสถาปัตยกรรม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ดังนี้ คือ
1. การจัดสรรบริเวณที่ว่างให้สัมพันธ์กันของส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
2. การจัดรูปทรงทางสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย และสิ่งแวดล้อม
3. การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกลมกลืน

 

  สถาปัตยกรรมแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ 
1. ชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์เข้าไปอาศัยอยู่ หรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร ศาลา ฯลฯ
2. ชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างอื่น ๆ เช่น อนุสาวรีย์ เจดีย์ สะพาน เป็นต้น ผู้สร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรม เรียนว่า สถาปนิก (Architect
)